02 ตุลาคม 2551

บทสัมภาษณ์ผู้ประกอบอาชีพ

“อาชีพและความสำคัญของการเรียนหนังสือ”
บทสัมภาษณ์ นางพัชรินทร์ ลองจำนง
สัมภาษณ์โดย นางสาวมลฤดี สินสุพรรณ์ และ นางสาวสิริพร ยอดทอง




ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางพัชรินทร์ ลองจำนงค์ (น้าพัช)
อายุ ๔๔ ปี
ปัจจุบันทำงานรักษาความปลอดภัย ที่หอ ๕๐ ปี มหาวิทยาลัยบูรพา
มีครอบครัวแล้ว มีลูกชาย ๒ คนและ ลูกสาว๑ คน ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ในระดับปวช. มัธยมศึกษาปีที่ ๔ และประถมศึกษาปีที่ ๑ ตามลำดับ





น้าพัชเข้ามาทำงานนี้ได้อย่างไรคะ?
ช่วงแรกมีเพื่อนแนะนำมา เพราะว่าตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านเฉย ๆ ก็เลยเข้าไปฝึกเป็นผู้รักษาความปลอดภัย ในองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นของทหารผ่านศึก เข้าไปฝึกในโรงเรียนแถวรามอินทรา โดยเริ่มทำงานในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ เป็นวันแรก แต่ว่าก่อนที่จะได้เข้ามาทำงานที่นี่ เคยเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชามาก่อน

แล้วลูกอยู่กับน้าพัชที่นี่ทั้งหมดทุกคนเลยรึเปล่าคะ?
ลูกชายอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี อยู่กับคุณป้าของเขา

บ้านเกิดของน้าพัชอยู่ที่ไหนเหรอคะ?
บ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ แต่สามีไปรับราชการอยู่ที่กาญจนบุรี ก็เลยตามไป พี่เขยก็รับราชการอยู่ที่นั่น ก็เลยให้ลูกชายอยู่ที่นั่น แต่ว่าคนเล็กให้อยู่กับเราที่นี่ ตอนนี้ก็ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนหาดวอนนภาแล้ว

รู้สึกเบื่ออาชีพนี้ไหม?
ไม่เบื่อ เพราะเป็นอาชีพที่เราอยากทำมาก่อนแล้ว

สมมุติว่าลูกเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แล้วอยากให้เรียนต่อไหม?
แน่นอน คนโตที่เรียนปวช. อยู่ก็หวังอยากให้เรียนนายร้อย แต่คงหนักเกินไป ขอให้ลูกเรียนอะไรก็ได้ที่จบมาแล้วได้รับราชการ ซึ่งตอนนี้สามีก็ได้เงินบำนาญอยู่ ก็พอพยุงฐานะครอบครัวได้ ส่วนคนกลางก็ชอบในด้านนี้เหมือนกัน เพราะเกิดการปลูกฝัง แต่นายร้อยก็ฝึกหนักพอสมควร จบมาแล้วต้องมีคุณภาพ

ในการรักษาความปลอดภัยน้าพัชคิดว่าบริษัทของน้าพัชแตกต่างกับบริษัทธรรมดาอย่างไร?
ต่างคะ อย่างแรกเลยคือสามารถใส่แบบฟอร์มรปภ.ของทหารได้ มีสิทธิที่จะรับสวัสดิการ ทุกอย่างเหมือนกับทหารเลย ต่างแค่ไม่สามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้ สำหรับในการฝึกก็ฝึกโดยคนที่เคยผ่านการเป็นทหารจริง ๆ ฝึกหนักมาก ไม่ว่าจะชายหรือหญิงเท่าเทียมกันหมด โดยทำการฝึก ๑ อาทิตย์ พอจบแล้วก็จะมีการรับรองให้ ในการฝึกก็มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ไม่ค่อยมีเวลาว่างเพราะ ต้องอยู่ในวินัยที่เคร่งครัด

ที่เราได้ทำงานอย่างนี้เพราะเราไม่มีโอกาสด้านการศึกษาใช่หรือเปล่า?
ใช่ ตอนนี้ต้องเรียนเยอะ ๆ น้าพัชบอกลูกเสมอว่าต้องเรียนเยอะ ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นได้แค่ แม่บ้าน คนสวย ยาม น้าพัชจบปวส. บัญชี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ต้องดิ้นรน เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียน ให้เรียนเยอะกว่าเรา

น้าพัชคิดว่า การทำงานให้ตรงกับสาขาที่เรียนมาดีไหม?
ดีนะ เป็นอะไรที่เยี่ยม แต่ส่วนมากเรียนมาแล้วได้ทำงานไม่ตรงกับสายของตัวเอง เรียนมาสูง แต่ก็ไม่ได้ใช้ แต่อย่างไรเรียนมากก็ดี เพราะถ้าเกิดไปเห็นงานที่ยาก เราจะรู้สึกว่าเราทำได้ มันง่าย อย่างน้อยเราก็เคยเรียนผ่านมาแล้ว

ถ้าเกิดเราเรียนเก่ง จะทำให้อนาคตของเรา อาชีพที่ทำดีขึ้นหรือเปล่า?
ไม่แน่เสมอไป คนที่เรียนเก่ง อนาคตอาจไม่ได้ทำงานที่ดีก็ได้ ไม่ได้ทำในอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝัน คนที่เรียนเก่ง จบแล้วอาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ คนที่ไม่เก่งอาจทำได้ดีกว่า อยู่ที่ความขยันในตัวของแต่ละบุคคลมากกว่า ซึ่งในแต่ละอาชีพก็ต้องเรียนรู้กันไป

หลายคนที่ไม่ได้เรียน แต่ประสบความสำเร็จ น้าพัชคิดอย่างไร?
เขาเก่ง เขามีเงิน สามารถมาเป็นผู้ประกอบการได้ เขามีความขยัน สู้ชีวิต เราอยากทำให้ได้อย่างเขา เราต้องอดทน สู้ต่อไป

การเรียนสำคัญต่อการทำงานหรือเปล่า?
สำคัญ งานแต่ละงานต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา ฝึกซ้อม ซึ่งก็แล้วแต่ละงานและสาขาอาชีพ เพราะคนที่ทำให้เราอยู่ไม่ได้ก็มี เราทำงานเยอะ พอเจอคนเยอะ เหล่านี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า คนประเภทนี้ ควรปฏิบัติตัวด้วยอย่างไร เราต้องตั้งหลักด้วยตัวเอง ถ้าเกิดเขากล่าวหาเรา เราก็นำมาพิจารณา แก้ไขในส่วนที่ตัวเองไม่ดีให้ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่เราตัดสินใจ

ถ้าน้าพัชได้เป็นผู้นำประเทศ น้าพัชจะช่วยเด็กด้อยโอกาสให้ได้เรียนหนังสือหรือเปล่า?
แน่นอน

แล้วจะช่วยอย่างไรคะ?
ถ้ามีเงินเยอะ ๆ น้าพัชเป็นผู้นำประเทศ จะให้เป็นทุนการศึกษาน่าจะดีกว่า เพราะเงินจะถึงเด็กง่ายกว่า ให้สำหรับเด็กเรียนดี อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะให้เด็กที่พ่อแม่ยากจน ไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียน หรืออาจจะให้เป็นทุนอาหารกลางวัน เพราะเด็กขาดแคลนเยอะ ไทยได้ส่งเงินไปให้พม่าเพื่อช่วยเหลือพวกที่ประสบภัยในครั้งก่อน ช่วยเหลือพม่าเยอะ แต่ไม่ค่อยช่วยเหลือประเทศไทยด้วยกันเอง
ในการให้ทุน จะให้ผ่านงบประมาณหลวงไปเลย ให้เป็นรายหัว ให้เรียนฟรีก็น่าจะดี แต่เงินที่ให้ไปก็ใช่ว่าจะทั่วถึงทุกคนเพราะการคอรัปชั่นก็มีอยู่ อย่างเช่น โครงการหมู่บ้านเงินล้าน ก็ให้เงินไปหมู่บ้านละล้านก็ไม่กระจายทั่วถึง เป็นการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ แต่ชาวบ้านที่กู้ไปก็นำไปใช้ในการทำสวน ไม่ก็ส่งลูกเรียน

การเมืองในปัจจุบันมีผลกระทบต่ออาชีพของทุกคนไหม?
แน่นอน เพราะเกิดการไม่กล้าลงทุน มีอัตราการเลิกจ้าง อย่างเช่น มีการเปลี่ยนบริษัทว่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยนี้
แล้วน้าพัชได้วางแผนไว้หรือเปล่าว่า ถ้าเกิดหมดสัญญาการว่าจ้างนี้แล้วหรือเมื่อวันที่น้าพัชมีอายุมากจนทำงานไม่ไหว น้าพัชจะทำอย่างไรต่อไปคะ
คิดว่าจะกลับไปทำสวนที่บ้าน เพราะที่บ้านก็มีที่ดิน มีรถไว้คอยเป็นมือเป็นเท้า เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ขนของกลับบ้านได้ คือว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องได้กลับบ้าน เพราะเราก็อายุเยอะแล้ว ทำไม่ไหว ตอนนี้เราก็ต้องเก็บเงินไว้ใช้ ตอนแก่และส่งลูกเรียน แต่ก็ยังมีประกันสังคมอยู่ เอาไว้สะสมตอนแก่ตัวลงก็อาจได้เงินเดือน อย่างน้อย เดือนละ ๒,๐๐๐ บาทก็พอแล้ว เราคงไม่ได้ใช้ทำอะไรมาก

ถ้าสมมุติว่าน้าพัชมีเงินที่จะเรียนในขั้นที่สูงกว่านี้ อยากจะเรียนอะไร?
รู้สึกว่า ที่น้าพัชเรียนบัญชีมานี้ก็ไม่ได้นำมาใช้อะไร ในสมัยก่อนมีการคิดเลขในบัญชี ที่เรียนอยู่ตัวเลขเป็นล้าน ๆ เดี๋ยวนี้ เด็กก็เรียนการจัดการ การบริหาร นิยมกว่าบัญชี ส่วนบัญชีตอนนี้ก็มีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเยอะ
ส่วนเด็กที่มีโอกาสเรียนก็มักจะไม่เรียนกัน เที่ยวเตร่ ไม่มีพ่อแม่อยู่ดูแลความประพฤติ บางคนก็เรียนไม่จบ ออกไปกลางครัน มันน่าเสียดายโอกาส เงินและเวลา อย่างลูกชายน้าพัชเองก็เรียนเทคนิค เรียนช่างอิเล็กทรอนิกส์ มีวิชาหนึ่งที่เขาเข้าเรียนไม่ครบ ทำให้หมดสิทธิ์สอบ แต่ก็ต้องเคี่ยวเข็ญเท่านั้นที่จะทำให้เรียนผ่านได้ แต่เขาก็ยังพยายามเรียน มุ่งมั่นที่จะเรียน ถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็ตาม ส่วนลูกคนกลางจะให้เรียนไปทางสายสามัญ การเรียนหนังสือนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการทำงาน ถ้าหากไม่ได้เรียนมาก็อาจทำให้เสียโอกาสในด้านการทำงานดี ๆ การเรียนเท่านั้น ที่จะพัฒนาตัวเราได้



ไม่มีความคิดเห็น: